ลูกทำไม่ได้หรอก !!
คำพูดเสียงดัง จากพ่อแม่ สวนขึ้นมาทันที
เมื่อลูกบอกว่า หนูอยากเล่นสเก็ต
ซักพักสิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ สายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ของเด็กคนเดิม
ของเด็กคนเดิม
ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสายตาของความลังเล
ความมั่นใจที่เหือดหาย
เริ่มหันซ้ายหันขวา มองพ่อแม่ ก้มมองพื้น ไม่แน่ใจตัวเอง
สภาพการณ์อึดอัด ที่เกิดพร้อมๆกับคำพูดย้ำซ้ำๆ จากพ่อแม่อีกครั้ง
หนูทำไม่ได้ หนูเล่นไม่ได้ หนูทำไม่เป็นหรอก !!!
คุณพ่อคุณแม่ครับ
มีบางสิ่งที่ผมอยากจะบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ซักนิดนึง
นั่นคือเรื่องวิธีการเลี้ยงดูที่พ่อแม่คนไทยส่วนใหญ่ ใช้กันอย่างเคยชินแพร่หลาย ที่ส่งผลกระทบสุดท้ายที่ไปฝังอยู่ในตัวเด็กอย่างรุนแรง โดยที่เราไม่รู้ตัว ที่สำคัญ เรามีเหตุผลประกอบการใช้ด้วยว่า เพราะรักลูก (ถูกรึเปล่าไม่รู้ ไม่สน)
![]() |
ร่วมปลูกฝังทัศนคติ ล้มเพื่อเรียนรู้การลุกยืนหยัด |
ข้อแรก
จริงอยู่ ที่ผมใช้เหตุการณ์จากที่ลานสเก็ต และโรงพยาบาล มาเป็นข้อคิด แต่เชื่อไหมครับ ที่เรื่องราวมันไม่ใช่แค่มาจากตัวอย่าง แต่ว่า พ่อแม่ไทย ใช้วิธีการแบบนี้ในการเลี้ยงลูกเกือบทุกด้าน เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ต้องเจอกับความท้าทาย ความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ ไม่ใช่กับสเก็ตอย่างเดียวครับ อย่าสรุปแบบนั้น แต่พ่อแม่ใช้มันในแทบทุกอย่างในชีวิตทีเดียว (พูดง่ายๆใช้ความกลัวเพื่อควบคุมลูก) เป็นเหมือนหนึ่งในปฏิกิริยาอัตโนมัติ นอกจากใช้กับลูกแล้ว ตัวพ่อแม่เองก็หนีไม่พ้น กระบวนการนี้ด้วยเช่นกัน
หากไม่แน่ใจ ลองค่อยๆหลับตา นึกภาพถึงเหตุการณ์หลายๆอย่างในชีวิตประจำวัน ที่ผ่านๆมา และซื่อสัตย์กับตัวเองนะครับ แล้วจะเห็นภาพที่ผมกำลังพูดถึง ว่าเราใช้แต่วิธีการแบบนี้กับเด็กจริงๆ
ข้อที่สอง
สิ่งที่พ่อแม่กำลังทำกับลูก คล้ายจะเป็นสัญชาติญาณ แต่แท้จริงแล้ว เป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังและถ่ายทอดมาอีกทอดหนึ่งจาก พ่อแม่ของพ่อแม่อีกทีครับ นั่นคือการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จนเราไม่รู้สึกว่า มันมีความผิดปกติ แต่อย่างใด เพราะใครๆก็ทำ ก็เป็นกัน คนปกติต้องสอน ต้องทำ ต้องเป็นกันแบบนี้ เราก็เลยทำกันต่อๆไป โดยที่ไม่ได้รู้สึกถึงผลเสีย เพราะเด็กคนอื่นๆ ก็เติบโตมาในกรอบการปลูกฝังอันเดียวกัน
![]() |
การปลูกฝังและพัฒนาศักยภาพ ต้องทำตั้งแต่ตอนเค้ายังเด็กเท่านั้น |
ข้อสาม
พ่อแม่กำลังทำสิ่งที่ส่งผลกระทบกับชีวิตเด็กมากที่สุด นั่นคือการปลูกฝัง "การขาดความเชื่อมั่น และความรู้สึกด้อยความสามารถในตนเอง " ลงไปในระดับจิตใต้สำนึก ซอฟท์แวร์ที่จะฝังอยู่ในนั้น ไปจนวันตาย หรือจนกว่า เด็กคนนั้นจะรู้ตัว และแข็งแกร่งพอที่จะถอดซอฟท์แวร์ตัวนั้นออกไป (คนโชคดีแบบนี้ มีจำนวนน้อยมากครับ )
การ "ปลูกฝัง DNA ขี้แพ้ " นั้น คือการ shut down สมองข้างขวา แทบสมบูรณ์แบบ
นี่คือหนึ่งปัจจัยสำคัญ ว่าทำไม แนวคิดการเรียนหนักๆอย่างเดียว ที่คนสมัยนี้แห่ทำเพราะต้องแข่งขันกัน ถึงสร้างอนาคตที่ดีไม่ได้ เพราะมันขาดซอฟท์แวร์สำคัญที่จะเอาความรู้ไปสร้างประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
คุณจะมีความสุขได้อย่างไร จะมีชีวิตที่สมดุลได้อย่างไร จะมีคุณภาพชีวิตที่น่าพอใจ ไปพร้อมๆกับวิธีการดำรงชีวิต การหารายได้อย่างที่วางเป้าหมาย พร้อมกับมีความสุขจากการทำงานได้ยังไง
เคยสังเกตไหมครับ โลกนี้จริงๆมีแค่คนสองประเภท คือ คนส่วนใหญ่ และคนส่วนน้อย
ทำไมใครบางคน (ส่วนน้อย) ชอบวันจันทร์และชอบทุกๆวัน ในขณะที่อีกหลายล้านคนเกลียดวันจันทร์
คนบางคน (ส่วนใหญ่) ทำงานหนักแทบตาย แต่รายได้แทบไม่พอเหลือ หรือไม่มีเวลาใช้เงิน
แต่บางคน ทำไปเล่นไป ใช้เวลาทำงานนิดหนอ่ย กลับมีรายได้เยอะกว่าคนทำงานหนัก
ทำไมคนส่วนน้อยกลุ่มหนึ่ง มีเวลามากมายเหลือพอให้ครอบครัว
ในขณะที่อีกหลายๆคน ต้องเอาเวลาของตนเองไปไว้กับการทำงานจนหมด ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะดูแลตัวเอง
( เพื่อให้เข้าใจได้เร็ว ผมจึงยกแค่เรื่อง "มูลค่า" ของงาน เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆนะครับ ไม่ได้พูดเรื่องของ"คุณค่า"ของงาน แต่อย่างใด )
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องเวรกรรม แต้มต่ออะไรเลยครับ แต่มาจาก "ชุดความคิด" ภายในล้วนๆ ครับ
แต่เราจะคิดและเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง
ในเมื่อ สมอง 2 ซีก ของคุณ
เหมือนหายไปแล้วครึ่งนึง เพราะมันถูกทำให้หยุดทำงานไปแล้ว
![]() |
เด็กนั้นเกิดมาพร้อมศักยภาพ 100% แต่พ่อแม่จะช่วยปลดล๊อกความสามารถได้แค่ไหน?? |
บางครั้งการพูดคุย การสื่อกันอาจเข้าใจได้ยาก ถ้าเรามองเห็นเป้าหมายที่ไม่ตรงกัน เพราะคนส่วนใหญ่จะชอบอะไรที่เข้าถึงง่าย จับต้องได้ยิ่งดี แต่คนที่มองถึงศักยภาพแท้จริง เค้าจะมองถึง "พลังจิต" ที่แสดงออกมาในลักษณะ"ความเชื่อมั่นในตนเอง "ครับ ซึ่งเป็นอะไรที่คนส่วนใหญ่จะรีบพูดออกตัวว่า โอ้ย มันยาก มันเป็นไปไม่ได้ มันสัมผัสยาก มันมองไม่เห็น มันวุ่นวาย มันๆๆๆๆ (อีกแล้ว :) )
ลองยกตัวอย่าง อืมม เอาบ้านๆแบบนี้เลยครับ
คนนึง เรียนเก่งมาก เกรดเฉลี่ยดีเยี่ยม โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ กับอีกคน เรียนได้บ้างไม่ได้บ้าง เกรดก็งั้นๆ แต่พอเจอฝรั่ง คนที่เรียนเก่ง กลับหน้าซีด ตัวสั่น ความรู้ที่มีเต็มหัวกลายเป็นอัมพาต กลับกัน คนที่สอง กลับใช้ความพยายามพูด สื่อสาร ยิงทุกไอเดีย งูๆปลาๆ แต่กลับประสบความสำเร็จเบื้องต้น จนสามารถสื่อสารได้ ปัญหามาจากสาเหตุตั้งต้น ที่ทำให้ ระบบความรู้ที่สร้างมาล่มสลายเพราะคำว่า "ขาดความมั่นใจ" คำเดียว
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ตัวอย่างลักษณะนี้ หลายคนต้องเคยเห็นมาอย่างแน่นอนครับ
สาเหตุเป็นเพราะอะไร
มาจากการที่พ่อแม่มุ่งเน้นสร้างความสามารถแค่ส่วนเดียว แต่ลืมหัวใจสำคัญที่เป็นเหมือนเครื่องยนต์ไปไงครับ (กลัวว่าคนอื่นๆในสังคมจะแซงหน้าไปเลยต้องมุ่งแข่งในด้านปริมาณ )
จุดประสงค์ที่ผมพยายามพูดถึงการสร้างพัฒนาการให้ครบด้านมากที่สุด ก็เพื่อที่ว่า
เราจะได้มีโอกาสสร้าง เด็กที่ทั้งเรียนเก่ง ทั้งมั่นใจ แน่นอนว่า มันไม่ง่ายครับ แต่ผมว่า ถ้าเราเล็งเป้าให้ตรง อย่างน้อยมันก็ยังพุ่งไปทางนั้น ไม่ใช่เล็งเป้าหันไปคนละทาง
การทุ่มเทของพ่อแม่นั้น ก็น่าเห็นใจ เพราะทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย แต่สุดท้ายการทุ่มทั้งชีวิตลงไป กลับได้ผลลัพธ์ ที่ไม่ใช่หวังไว้ น่าเห็นใจครับ
และไม่ได้จะบอกว่า ไม่ต้องไปเรียนหนังสือก็ได้เหมือนที่หลายคนตีความ ที่ผมบอกไม่ต้องเรียนเยอะ เพราะการเรียนที่ดีต้องได้คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ อีกทั้งยังมีอีกหลายเรื่องที่เด็กต้องพัฒนา ร่วมไปกับการมีกระบวนทัศน์ที่สอดคล้องไปกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกด้วยครับ
ครูเสกลองยกตัวอย่าง อืมม เอาบ้านๆแบบนี้เลยครับ
คนนึง เรียนเก่งมาก เกรดเฉลี่ยดีเยี่ยม โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ กับอีกคน เรียนได้บ้างไม่ได้บ้าง เกรดก็งั้นๆ แต่พอเจอฝรั่ง คนที่เรียนเก่ง กลับหน้าซีด ตัวสั่น ความรู้ที่มีเต็มหัวกลายเป็นอัมพาต กลับกัน คนที่สอง กลับใช้ความพยายามพูด สื่อสาร ยิงทุกไอเดีย งูๆปลาๆ แต่กลับประสบความสำเร็จเบื้องต้น จนสามารถสื่อสารได้ ปัญหามาจากสาเหตุตั้งต้น ที่ทำให้ ระบบความรู้ที่สร้างมาล่มสลายเพราะคำว่า "ขาดความมั่นใจ" คำเดียว
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ตัวอย่างลักษณะนี้ หลายคนต้องเคยเห็นมาอย่างแน่นอนครับ
สาเหตุเป็นเพราะอะไร
มาจากการที่พ่อแม่มุ่งเน้นสร้างความสามารถแค่ส่วนเดียว แต่ลืมหัวใจสำคัญที่เป็นเหมือนเครื่องยนต์ไปไงครับ (กลัวว่าคนอื่นๆในสังคมจะแซงหน้าไปเลยต้องมุ่งแข่งในด้านปริมาณ )
จุดประสงค์ที่ผมพยายามพูดถึงการสร้างพัฒนาการให้ครบด้านมากที่สุด ก็เพื่อที่ว่า
เราจะได้มีโอกาสสร้าง เด็กที่ทั้งเรียนเก่ง ทั้งมั่นใจ แน่นอนว่า มันไม่ง่ายครับ แต่ผมว่า ถ้าเราเล็งเป้าให้ตรง อย่างน้อยมันก็ยังพุ่งไปทางนั้น ไม่ใช่เล็งเป้าหันไปคนละทาง
การทุ่มเทของพ่อแม่นั้น ก็น่าเห็นใจ เพราะทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย แต่สุดท้ายการทุ่มทั้งชีวิตลงไป กลับได้ผลลัพธ์ ที่ไม่ใช่หวังไว้ น่าเห็นใจครับ
และไม่ได้จะบอกว่า ไม่ต้องไปเรียนหนังสือก็ได้เหมือนที่หลายคนตีความ ที่ผมบอกไม่ต้องเรียนเยอะ เพราะการเรียนที่ดีต้องได้คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ อีกทั้งยังมีอีกหลายเรื่องที่เด็กต้องพัฒนา ร่วมไปกับการมีกระบวนทัศน์ที่สอดคล้องไปกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกด้วยครับ
เรื่องนี้ย๊าวยาว ไว้พูดกันอีกทีตอน 2 ดีกว่าครับ
สเก็ตเพื่อพัฒนาการ
สอบถามพูดคุยปัญหาด้านพัฒนาการเด็กได้ที่ 083-424-9090
![]() |
ก้าวแรกของความสนุกที่มาพร้อมสุขภาพและพัฒนาการ #ชมรมสเก็ตเชียงใหม่ #สเก็ตครูเสก #ลานสเก็ตเชียงใหม่ #ลานสเก็ตนครสวรรค์ #ลานสเก็ตเชียงราย |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความเห็นกันได้เต็มที่นะครับ