วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คนไทย กับ ความกลัว ตอนที่ 2 การเลี้ยงลูกแบบไทยๆ

หลังจากที่เกริ่น กันมา 1 ตอน เรามาเข้าเรื่องหนักๆกันเลยดีกว่า กับ วิธีการรักลูก ที่ถูกต้อง

อย่างแรกสุด ผมอยากให้ทุกคนรับกับความจริง ข้อนึงก่อนครับ ว่า 

เมื่อถึงวันนึง เราทุกคน ก็ต้องตายจากโลกนี้ไปครับ วันนี้ เราเป็นพ่อ แม่ เป็นตา ยาย วันนึงเราก็ต้องตายจากลูกไป ไม่มีวันเปลี่ยนความจริงนี้ได้ ยกเว้นว่าคุณจะเป็นอมตะ อยู่ตามใจลูกไปได้ตลอดกาลละก็นะ


ถ้าคุณยอมรับในความจริงข้อนี้ ก็ควรต้องปรับทัศนคติ การเลี้ยงลูกใหม่แล้ว

วันนี้ คุณโอ๋ลูก ประคบประหงม สร้างเค้าเป็นองค์ชายตัวน้อย เป็นคนที่นึกถึงแต่ใจตัวเอง เอาตัวเค้าเองเป็นที่ตั้ง เป็นศูนย์กลางของจักรวาล อยากเอาอะไรก็มีคนประเคน ใช้อารมณ์ ก็มีแต่คน ( ในบ้าน) ยอม

แต่วันที่ไม่มีคุณอยู่ล่ะ จากไปที่อื่น หรือตายจากไป หรือตัวเด็กเองต้องเปลี่ยนจากอยู่บ้าน ไปอยู่สังคมข้างนอกล่ะ

ผมถามว่า แล้วจะมีใครยอมเค้าครับ กับคนที่เอาแต่ใจและความอดทนต่ำ ในที่เรียน ที่ทำงาน ในสังคมกว้างใบนี้ ไม่มีหรอก ส่วนทางเลือกหรอ ก็มีแค่

- ปรับตัวซะ แต่ด้วยอายุ กับการถูกตามใจมาชั่วชีวิต ก็ยากที่จะปรับตัว การเรียนรู้ใหม่ จะเกิดรึเปล่า ก็บอกไม่ได้ หรือ

- กลับคืนสู่อ้อมอก เลี้ยงกันเป็นทารกไปจนวันตาย พ่อแม่ตายก่อนไม่ได้ด้วยครับ เดี๋ยวเป็นห่วง แล้วเค้าจะอยู่ไง  หรือ 

- กำจัดตัวเอง ออกจากสังคม หรือครอบครัว หลายๆคน เลือกวิธีนี้ครับ


ถ้ามองเห็นภาพในสิ่งที่ผมพูดแล้วละก็ ใช่ครับ เรากำลังพูดถึง การเลี้ยง การฝึกให้เค้าโตเป็นคนที่มีศักยภาพ พึ่งตัวเองได้ มีกำลังใจ ก่อเกิดได้ด้วยตัวเอง

พ่อแม่ทุกคน ลึกๆ ยังไงก็ต้องหวังพึ่งให้เด็กโตมาแล้ว กลับมาดูแล ห่วงใยพ่อแม่ใช่ไหม แต่ผมถามว่า ถ้าตัวเด็กเอง พอโตขึ้นยังดูแลตัวเองไม่ได้ เพราะสภาพจิตใจอ่อนแอ เอาตัวไม่รอด มีเหรอ มันจะกลับมาดูแลพ่อแม่ได้

ลูกที่มีจิตใจเป็นผู้ใหญ่ ก็จะดูแลพ่อกับแม่เพื่อทดแทนพระคุณท่านได้

เมื่อปีก่อน ผมมีคนไข้ เป็นเด็กชาย อายุ  4 ขวบ มาด้วยปัญหาพัฒนาการช้า และอ้วน

ย้ำว่า อายุ 4 ขวบ นะครับ มีใครรู้บ้าง 4 ขวบ ทำอะไรได้บ้าง 

แต่ผมบอกอย่างนี้ดีกว่า เด็ก อายุ 1 ขวบกว่า ๆ ก็ตักข้าวกินเองได้แล้ว (  หกบ้าง ตกบ้าง เป็นเรื่องปกติ แต่การหยิบ เอาของเข้าปาก เพื่อให้ท้องอิ่ม มันเป็นสัญชาติญาณ )


เด็ก 4 ขวบ ที่ว่า ตักข้าวกินเอง ไม่เป็น มือไม่ด้วน ไม่มีปัญญาอ่อน กล้ามเนื้อไม่มีปัญหาอ่อนแรง 

แม่กลุ้มใจ บ่นกับผมว่า ลูกทำใมพัฒนาการช้ามาก (บ่นแต่ไม่เคยร่วมมือในการรักษา)

แล้ววันนึง ผมก็พบคำตอบที่ทำให้กระจ่าง ครับ 

หลังจากจอดรถ เดินมาตรงคลินิค ซึ่งเป็นประตูกระจก มองเห็นด้านใน เด็กชายคนดังกล่าว นั่งอยู่ตรงโซฟา แม่และพี่เลี้ยง ยืนคนละข้าง ถือช้อนคนละคัน ตักข้าวป้อน สลับกัน ลูกนั่งอ้าปากอย่างเดียว

ผมยืนมองจากลานจอดรถ ได้แต่อ่อนใจ (ในฐานะคนรักษา คุณรู้ไหมว่ามันท้อใจ เพราะจะทุ่มเทแค่ไหน  เด็กคนนั่นก็ไม่มีวันดีขึ้น ในเมื่อต้นเหตุมันยังอยู่ ) เพราะแม่นี่เอง

มาโรงพยาบาล ครั้งนึง ก็เสียเงินเป็นพันๆ มาเพื่อแก้ปัญหา ในสิ่งที่คุณสร้างมันขึ้นมาทุกวัน จากสิ่งที่คุณบอกว่า " รักลูก " แบบนี้ 

สิ่งเหล่านี้คือการ "ทำลาย" ลูกตัวเอง ทั้งทางตรงและทางอ้อม 



ถ้า 4 ขวบคุณยังต้องประเคนข้าว ถึงปาก ผมถามกลับว่า ในใจคุณคิดว่า อายุเท่าไหร่ดี เค้าถึงควรจะกินข้าวเอง    40 ดีไหม  น่าจะโตพอนะ


แล้วถ้าเค้าโต มากๆแล้ว คุณมาบอก ให้เค้าทำเอง เค้าจะยอมคุณง่ายๆหรอ เพราะคุณทำให้เค้ามาตลอดชีวิตเค้าแล้ว เค้าจะคิดว่าคุณไม่รักเค้า มันกลายเป็นความคิดสุดขั้วไปแทน แต่ถ้าใครไม่เจอ ผมก็ดีใจด้วย



คนไทยนะครับ ไม่ว่าจะ ยากจน หรือ เศรษฐี ก็เลี้ยงลูกตามใจหมดครับ นานๆจะเจอคนที่เลี้ยงลูก แบบเข้าท่า มาซักคน นะครับ 

ครอบครัวยากจน พ่อแม่ มักจะไม่ให้ลูกลำบาก เลี้ยงตามใจ เพื่อชดเชย จนเด็ก ก็คิดว่า ตัวเอง มีฐานะปกติเหมือนคนอื่น ใช้จ่ายปกติ ลูกก็นึกว่า พ่อแม่ไม่ได้ลำบากอะไร แบมือขออย่างเดียว  พอถึงคราวขัดสน ไม่มีให้ลูกจริงๆ ปัญหาก็ตามมา เพราะลูกมันตาบอดไปแล้ว ก็คิดว่าพ่อแม่ต้องมีให้ตลอด สุดท้าย ก็ต้องไปหามาให้ ไม่ว่าจะต้องไปกู้ ไปอะไรมา


เมื่อกลางปีนี้ บังเอิญเปิดทีวี เจอข่าว พร้อมตรรกะแปลกๆจากวัยรุ่นไทย

ภาพประกอบจาก http://kunginternews.blogspot.com

มีวัยรุ่น 2 คน พกปืนปล้นร้านทอง เจ้าของร้านเกือบตาย แต่ยิงสวนมา จนโดนคนร้าน และสุดท้าย ถูกจับได้ นักข่าว ไม่พลาดที่จะเข้าไปสอบถาม เด็กที่เป็นแกนนำการปล้น ได้ความดังนี้ 

จุดประสงค์ --> จะหาตังค์ ไปหมั้นสาว (คนเป็นแฟน คงภูมิใจน่าดู )
เหตุผลล่ะ 

- ผมอยากกิน kfc ชีวิตนี้ยังไม่เคยได้กิน เลย 

- คนรวย ดูถูกและก็ย่ำยี คนจนทุกคนแหละ ชีวิตมันบัดซบ    เอ้ออ แล้วเจ้าของร้านทอง เอ็งก็ไม่รู้จัก เข้าไปก็จ่อปืนยิงเค้าเลย  เค้าไปเหยียบย่ำนายเมื่อไหร่ แล้วกว่าเค้าจะลำบากจนเป็นเจ้าของร้านทองนี่ เค้าต้องขยัน มาชั่วชีวิตรึเปล่า

ตอนนี้ พี่แก ก็ได้มีชิวิตใหม่ สมใจอยากไปแล้วครับ ในคุกอ่ะ



ส่วน คนรวย อันนี้ตกหลุมพรางของธรรมชาติครับ สังเกตนะครับ คนที่ลำบากมากๆจนวันนึง เก็บออมได้จนมีอันจะกิน ก็จะมีลักษณะอย่างนึง ที่เหมือนกัน มีประโยคคลาสสิค ว่า


"ไม่อยากให้ลูกลำบากเหมือนอั๊ว" เลยประคบประหงม โอ๋ลูกเต็มที่ ชดเชย

แต่ 

แต่เค้าลืมไปอย่างนึงครับ 

ว่า 

"ความลำบาก" นั่น สร้างคน 

แต่ 

"ความสบาย" นั่นทำลายคน 

เค้าลืมไปว่า ที่เค้าประสบความสำเร็จเป็นคนมีฐานะ มีชื่อเสียง แบบนี้ได้ เพราะ 

ความลำบาก มันทำให้เค้ากลายเป็นคนที่มีความอดทน กลายเป็นยอดคน

เค้าแยกไม่ออกระหว่าง การปล่อยให้ลูกตกระกำลำบาก กับการตั้งใจให้ลูกลำบาก เพื่อฝึกฝน 

ดังนั้น ก็เลยรักลูก ในแบบของ การเลี้ยงลูกด้วยเงิน 

ดังนั้นลูกก็จะก่อปัญหาพฤติกรรม มาให้ปวดหัวเสมอ เช่น ไปซิ่งรถจนเกิดเรื่อง รึถ้ามีตังค์เยอะก็จะมีข่าวเสพยามาให้ได้ยินก็บ่อย ถ้าในด้านธุรกิจ ส่วนใหญ่ ก็จะไปจบที่รุ่นลูก เพราะเค้าไม่เคยซาบซึ้งความลำบาก ความอดทน ความเป็นผู้นำ มันไม่พอที่จะพาธุรกิจที่รุ่นพ่อสร้างมา ให้ไปต่อได้ หลายธุรกิจ เราอาจเห็นว่า มันยังอยู่ ใช่ครับ ตัวธุรกิจน่ะอยู่ แต่ตัวเจ้าของอาจเปลี่ยนมือ เนื่องจากระบบผู้ถือหุ้นครับ เจ้าของเดิม ก็แค่มีหุ้นอยู่ แต่ไม่มีส่วนในการบริหารกิจการแล้ว แบบนี้ก็มีเยอะ

บทสรุป 2 แบบ นั้น มีผลลัพธ์ ไม่ต่างกัน

ก็คือ สร้างคนที่เอาแต่ใจตัวเอง มาประดับโลกอีก 1  คน


สิ่งที่ผมอยากจะสื่อก็คือว่า  แปลกใหม ว่าเด็กทั้งรวย ทั้งจน เค้าโตมาพร้อมตรรกะหรือความคิดแปลกๆแบบนี้ได้ยังไง

หากมองจนเข้าใจแล้ว จะรู้พัฒนาการทางกาย จะช้าจะเร็ว วันนึงมันก็ไปถึงจุดที่มันควรจะเป็น กว่าจะตักข้าวกินเองได้ จะ 7-8 ขวบ 10 ขวบ วันนึง มันก็ต้องทำได้  มันไม่ใช่ประเด็น 

ประเด็น 

อยู่ตรงที่ พัฒนาการทางด้าน จิตใจ และอารมณ์ต่างหาก 

คนจะเลี้ยงง่าย เลี้ยงยาก เป็นคนดี คนไม่ดี มันอยู่ เรื่องของพัฒนาการส่วนหลัง 


สมัยนี้ คงเรียกว่า EQ ครับ


มีอีกหนึ่งข่าว แต่นี่ก็หลายปีและ 

มีวัยรุ่น ไปจอดรถแถวหอการค้า จอดผิดกฏน่ะครับ ตำรวจผ่านมา ก็เลยเขียนไปสั่ง จึงโมโหมาก กลับบ้าน ไปตามพ่อ 

ปัญหาอยู่ที่ตัวพ่อครับ นอกจากจะไม่สอนลูกว่า ทำผิดกฏ แล้วยอมรับผิด แต่กลับ ยกพวก ไปรุมตีตำรวจ จนเกือบตาย

อันนี้แหละครับ ถ้าคนเป็นพ่อ เป็นแบบนี้  EQ ต่ำแยกแยะถูกผิดไม่ได้  คงไม่ต้องเดาว่าลูก จะเป็นยังไง

คนไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ 

ก่อนจะจบตอนที่ 2 ผมอยากขยายความ 1 ในสาเหตุ ที่คนบ้านเราส่วนใหญ่ EQ ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก  ไปดูคนส่วนใหญ่เลี้ยงลูกครับ 

เด็กเดินๆๆๆ ไปชนโต๊ะ เจ็บ ร้องไห้ ผู้ใหญ่ เดินมา ตีโต๊ะ บอกเด็กว่า โต๊ะมันไม่ดี

ทำอะไรพลาดเจ็บตัวมา จะปลอบใจด้วยการ "โทษ" สิ่งอื่นแทน

ใช่ครับ เด็กที่ถูกเลี้ยง และสอนมาแบบนั้น เมื่อโตขึ้น เวลาทำอะไรผิด ก็จะเป็นคนที่ไม่ยอมรับความผิด คิดว่ายอมรับไม่ได้ และมักจะรู้สึกว่า เป็นความผิดของคนอื่นหรือสิ่งอื่นเสมอครับ 

ครั้งนึง ผมออกไปกินข้าวกลางวัน กลับมา เลยนั่งพักอืด ตรงที่นั่งชั้นล่างของโรงพยาบาล 

มีพ่อคนนึง อุ้มลูก ซึ่งที่แขนลูกใส่เฝือกมาด้วย ลูกก็น้ำตาคลอ

แล้วผมก็ได้ยินพ่อปลอบลูกว่า เนี่ย หมอไม่ดี ทำหนูเจ็บเนาะ หมอไม่ดีๆ


( เอ่อ หมอเค้าช่วยรักษาลูกคุณน่ะครับ คุณจะปลอบ ก็ปลอบด้วยคำพูดอย่างอื่น ถ้าคิดอะไรไม่ออก กอดเค้าก็พอ ดีกว่าพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป ด้วยการพูดบิดเบือนให้เด็ก ซึ่งเค้าเรียนรู้ทุกอย่างจากคุณครับ  )

ได้ยินแล้วของจะขึ้นครับ ก็ถ้าหมอไม่ดี จะพามาโรงพยาบาลให้หมอรักษาทำใม

ถ้าเด็กมันรู้เรื่อง เด็กจะถามกลับเอานะ แล้วจะเอาสมองซีกไหนไปหาคำตอบให้ลูกล่ะ





เขียนมาขนาดนี้ ผมก็ยังยืนยัน ว่ามันเกี่ยวกับโรลเลอร์เบลดแหละ ไม่สิ มันเกี่ยวกับสภาพจิตใจครับ EQ ของ มันส่งผลกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกอย่าง พอสภาพจิตใจคนส่วนใหญ่ถูกหล่อหลอมมาให้กลัว เลยรู้สึกว่า การเล่นสเก็ต มัน ไม่ใช่เรื่องปกติ ผู้ใหญ่ก็กลัว อย่างนั้นอย่างนี้ เด็กก็กลัวอย่างนั้นอย่างนี้

ตอนที่ 2 คงจะทำให้เห็นภาพ การรักลูก การสร้างทัศนคติ ค่านิยม การหล่อหลอม การประคับประคองทางจิตใจเด็กแบบผิดๆ ของพ่อแม่ไทยกันแล้วนะครับ

ตอนต่อไป จะไปต่อกันเรื่อง ที่สำคัญมากๆอีกเรื่อง ก็คือ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนของการศึกษา กันครับ









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แสดงความเห็นกันได้เต็มที่นะครับ